4 องค์ประกอบที่คุณต้องรู้! ก่อนทำแคมเปญการตลาดออนไลน์
เป็นที่ทราบกันดีว่า แคมเปญการตลาด (Marketing Campaign) เป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกๆธุรกิจจะต้องลงมือทำ เพราะเป็นวิธีการสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจไปถึงเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ได้ ไม่ว่าเป้าหมายนั้นจะเพื่อสร้าง Awareness, สร้าง Engagement, สร้างยอดขาย หรือเป้าหมายทางธุรกิจอื่นๆ
เป็นที่ทราบกันดีว่า แคมเปญการตลาด (Marketing Campaign) เป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกๆธุรกิจจะต้องลงมือทำ เพราะเป็นวิธีการสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจไปถึงเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ได้ ไม่ว่าเป้าหมายนั้นจะเพื่อสร้าง Awareness, สร้าง Engagement, สร้างยอดขาย หรือเป้าหมายทางธุรกิจอื่นๆ
แต่การจะสร้างแคมเปญ (Campaign) สักหนึ่งชิ้นให้ประสบความสำเร็จได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินทำได้ ถ้าหากคุณรู้และเข้าใจองค์ประกอบสำคัญที่แคมเปญที่ดีควรมีและรู้วิธีการนำไปใช้ให้เหมาะสม การสร้างแคมเปญให้เกิดผลสำเร็จก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
และนี่คือ 4 องค์ประกอบสำคัญ! ที่คุณต้องรู้ ก่อนลงมือทำแคมเปญการตลาด
Campaign Goal : เป้าหมายแคมเปญที่ชัดเจน
Content Needed : รูปแบบคอนเทนต์ที่เหมาะสม
Traffic Source : แหล่งผู้คนที่ต้องการเข้าถึง
Call to action : สัญลักษณ์สร้างแรงกระตุ้น
1. Campaign Goal : เป้าหมายแคมเปญที่ชัดเจน
เป้าหมายของแคมเปญในที่นี้ จะแบ่งตาม Customer Value Journey หรือลำดับขั้นการเดินทางของลูกค้าอย่างละเอียด 8 ขั้นตอน เป็นการแบ่งขั้นความสัมพันธ์ของลูกค้ากับแบรนด์ จากคนแปลกหน้า ขยับความสัมพันธ์ขึ้นมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นลูกค้า และกลายเป็นแฟนพันธุ์แท้ของแบรนด์ในที่สุด
ในขั้นตอนนี้คุณจะต้องค้นหาให้ได้ว่า ขณะนี้เป้าหมายของคุณต้องการขยับขั้นความสัมพันธ์จากขั้นตอนไหนไปยังขั้นตอนไหน เพื่อในลำดับถัดไป คุณจะสามารถเลือกองค์ประกอบอื่นๆให้เหมาะสมที่สุดได้ Customer Value Journey สามารถแบ่งอย่างละเอียดออกเป็น 8 ขั้นตอนได้ดังต่อไปนี้
1. Awareness : รับรู้การมีตัวตนของแบรนด์
ผู้มีโอกาสจะเป็นลูกค้าเริ่มรับรู้การมีตัวตนของแบรนด์จากช่องทางต่างๆ เช่น Facebook Google Instagram เป็นต้น ตัวอย่าง ลูกค้าในขั้นตอน Awareness
2. Engagement : เริ่มคุ้นเคย และมีส่วนร่วมกับแบรนด์
เป็นขั้นตอนหลังจากที่พวกเขารับรู้การมีอยู่ของแบรนด์แล้ว เริ่มคุ้นเคย และมีส่วนร่วมกับแบรนด์มากขึ้น ตัวอย่าง ลูกค้าในขั้นตอน Engagement
3. Subscribe : ยอมให้ข้อมูลส่วนตัวกับแบรนด์
ในขั้นตอนนี้พวกเขาจะให้ข้อมูลการติดต่อของแก่คุณ ซึ่งการกระทำนี้ถือเป็นการอนุญาตให้คุณติดต่อพวกเขาอีกครั้งได้ในอนาคต ตัวอย่าง ลูกค้าในขั้นตอน Subscribe
4. Convert : ตัดสินใจซื้อ
เป็นขั้นตอนที่ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าชิ้นแรก อาจจะเพื่อทดลองสินค้าและบริการก่อน เป้าหมายหลักจริงๆของขั้นตอนนี้จึงเป็นการได้รับลูกค้าใหม่ๆ มากกว่ามุ่งเน้นไปที่เรื่องของกำไร ตัวอย่าง ลูกค้าในขั้นตอน Convert
5. Excite : ประทับใจหลังการซื้อสินค้า
เป็นขั้นตอนที่ลูกค้ารู้สึกประทับใจ หรือรู้สึกพิเศษหลังจากซื้อสินค้า เพื่อเพิ่มโอกาสในการซื้อสินค้าซ้ำ ซื้อสินค้าจำนวนมากขึ้น หรือมีราคาแพงขึ้น ตัวอย่าง ลูกค้าในขั้นตอน Excite
6. Ascend : ซื้อซ้ำ หรือซื้อเพิ่ม
เป็นตอนที่ลูกค้าพร้อมจะซื้อสินค้าจำนวนมากขึ้น ราคาสูงขึ้น หรือซื้อบ่อยขึ้น ตัวอย่าง ลูกค้าในขั้นตอน Ascend
7. Advocate : บอกต่อ
เป็นขั้นตอนที่ลูกค้าสนับสนุนและบอกต่อธุรกิจไปยังคนอื่นๆ เรียกอีกอย่างว่า “passive promoter” หรือผู้โปรโมทแบรนด์โดยธรรมชาติ ตัวอย่าง ลูกค้าในขั้นตอน Advocate
8. Promote : โปรโมท
“Promoters” ต่างจาก “advocates” ตรงที่ Promoters จะเลือกเผยแพร่คำต่างๆที่เกี่ยวกับแบรนด์ สินค้า และบริการโดยตรง ซึ่งพวกเขามักจะโปรโมทเพราะแรงจูงใจบางอย่างที่บริษัทจัดทำขึ้น ตัวอย่าง ลูกค้าในขั้นตอน Promote
2. Content Needed : รูปแบบคอนเทนต์ที่เหมาะสม
เนื่องจาก Content ในปัจจุบัน มีหลากหลายรูปแบบให้เลือกสรร เพื่อให้ง่ายต่อการนำไปใช้ เราจึงจัดประเภทของ Content ให้เหมาะสมกับแต่ละขั้นตอน ซึ่งจัดกลุ่มใหญ่ออกเป็น 3 ขั้นตอน ดังต่อไปนี้
TOFU (Top of Funnel) : Aware and Engage
เป็นขั้นตอนแรกๆ ที่มีเป้าหมายเพื่อทำให้คนรับรู้ และมีส่วนร่วมกับแบรนด์ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนถัดไป ประเภทคอนเทนต์ที่เหมาะสมคือ
MOFU (Middle of Funnel) : Subscribe
เป็นขั้นตอนระหว่างกลาง ที่มีเป้าหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลการติดต่อของลูกค้า เพื่อนำไปทำการตลาดให้เกิดการซื้อในขั้นตอนถัดไปได้ ประเภทคอนเทนต์ที่เหมาะสมคือ
BOFU (Bottom of Funnel) : Convert
เป็นขั้นตอนลำดับท้าย ที่มีเป้าหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งลูกค้า หรือทำให้เกิดการตัดสินใจซื้อ ประเภทคอนเทนต์ที่เหมาะสมคือ
ประเภทวิดีโอที่กล่าวมาเป็นเพียงแนวทางให้สามารถเลือกใช้งานได้ง่ายมากขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับธุรกิจของคุณ ว่าต้องการเลือกใช้รูปแบบใดที่คิดว่าเหมาะสมกับเป้าหมาย และสไตล์ของธุรกิจคุณมากที่สุดค่ะ
3. Traffic Source : แหล่งผู้คนที่ต้องการเข้าถึง
Traffic source คือแหล่งที่มาของการเข้าชม อาจจะเป็นการคลิกจากโฆษณาอีเมล, โซเชียลมีเดีย หรือเครื่องมือค้นหาเช่น Google สำหรับการตลาดแบบออฟไลน์ อาจจะอยู่ในรูปของจดหมาย ทีวี โฆษณาทางวิทยุ ป้ายโฆษณา หรือช่องทางไหนก็ตามที่จะทำให้ผู้คนเห็น Call to action ของคุณ แหล่งที่มาของกลุ่มคนที่เราต้องการเข้าถึงในการทำแคมเปญ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ที่มาหลักๆคือ
Organic Source
แหล่งผู้รับชมแคมเปญจากช่องทางต่างๆที่สามารถเข้าถึงแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย เหมาะกับแบรนด์ที่มีผู้ติดตามเยอะในช่องทางนั้นๆ
Paid Source
แหล่งที่มาจากการซื้อโฆษณา เป็นรูปแบบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะกรณีที่ต้องการเข้าถึงผู้คนเป็นจำนวนมากๆ แหล่งที่มาจากการซื้อโฆษณาช่วยตอบโจทย์การเข้าถึงที่คุณต้องการได้ดีที่สุด
4. Call to action : สัญลักษณ์สร้างแรงกระตุ้น
Call to action คือถ้อยคำ สัญลักษณ์ หรืออะไรก็ตาม ที่คุณใช้กระตุ้นให้ผู้รับชมทำ ตัวอย่างเช่น ถ้าการตลาดของคุณอยู่ในขั้นตอน Subscribe ให้ได้ข้อมูลลูกค้า Call to action อาจจะทำขึ้นเพื่อกระตุ้นให้ดาวน์โหลดเอกสาร เช็คลิสต์ หรือวิดีโอ ถ้าการตลาดของคุณอยู่ในขั้นตอนการตัดสินใจซื้อ (Convert) หรือขั้นตอนการซื้อซ้ำซื้อเพิ่ม (Ascend) Call to action ของคุณอาจจะอยู่ในรูปของสัญลักษณ์กระตุ้นให้เกิดการซื้อสินค้าและบริการ แต่ถ้าแคมเปญของคุณมีจุดประสงค์เพื่อสร้างการรับรู้ (Awareness) Call to action อาจจะเป็นการกระตุ้นให้คนฟังพอดแคสต์ หรืออ่านบล็อค เป็นต้น
ตัวอย่างคำที่มักใช้เป็น Call to action
ตัวอย่างการใช้ Call to action
ตัวอย่างการสร้างแคมเปญจาก 4 องค์ประกอบเหล่านี้
หลังจากเรียนรู้ทั้ง 4 องค์ประกอบนี้ไปแล้ว เรามาดูตัวอย่างการนำไปใช้ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจ และเห็นภาพการใช้งานมากขึ้นค่ะ
กรณีศึกษา Value Journey Campaign จาก DigitalMarketer.com
จากตัวอย่างการออกแบบแคมเปญของ DigitalMarketer เมื่อไหร่ก็ตามที่จะสร้างแคมเปญใหม่ขึ้นมา พวกเขาจะเริ่มต้นจากการดูภาพรวมของ Value Journey ก่อน และระบุขั้นตอนที่พวกเขาจำเป็นจะต้องแก้ไข ในกรณีนี้ พวกเขารับรู้ได้แล้วว่าขณะนั้นแบรนด์สร้างการรับรู้ผ่านโฆษณา Facebook ได้ดี แต่ยังไม่มีแคมเปญดีๆ ที่สร้าง engagement ได้
ทาง DigitalMarketer จึงตัดสินใจออกแบบคอนเทนต์ในรูปแบบ branding video ที่มีเป้าหมายเพื่อให้ผู้รับชมมีการโต้ตอบ และรู้สึกร่วม (engaged) กับแบรนด์ของเขา
ทาง DigitalMarketer ตั้งชื่อวิดีโอนี้ว่า “Valentine’s Day War on Sales & Marketing.”
แต่อย่างที่ทราบกันดี แค่สร้างคอนเทนต์วิดีโอขึ้นมาอย่างเดียวคงไม่พอ พวกเขาต้องค้นหาวิธีเพื่อให้วิดีโอนี้ออกสู่สายตาผู้คนด้วย ดังนั้นทางบริษัทจึงจัดทำแคมเปญโฆษณาบนFacebook เพื่อดึงผู้คนให้เข้ามารับชมวิดีโอนี้ (เป้าหมายของแคมเปญเป็นยอดการรับชมวิดีโอ)
และนี่คือหน้าตาแคมเปญโฆษณาของพวกเขา
การโฆษณา คือวิธีการที่ดีที่สุดที่จะทำให้คนเห็นคอนเทนต์ของคุณ สำหรับทุกๆขั้นตอนของ Customer Journey
เพราะเป้าหมายของแคมเปญนี้ คือการทำให้ผู้คนมีส่วนร่วมกับคอนเทนต์ของพวกเขา Call to action ที่พวกเขาเลือกใช้จึงเป็นคำพูดที่ว่า “Watch this video!” เป็นสิ่งที่ต้องย้ำเตือนตัวเองว่า แคมเปญนี้ไม่ได้จัดทำขึ้นเพื่อให้คนมาลงทะเบียน หรือเพื่อซื้อสินค้าในทันที แต่มีเป้าหมายเพื่อสร้างการมีส่วนร่วม (engagement) ซึ่งผลลัพธ์ของแคมเปญประสบความสำเร็จในการสร้าง engagement เป็นอย่างมาก
กรณีศึกษาถัดมาเป็นของ Honest Company
และนี่คือตัวอย่างแคมเปญที่ขยับความสัมพันธ์เพิ่มขึ้นถึง 2 ขั้น จาก Engage ไป Subscribe ไปจนถึง Convert
เรามาเริ่มจากจุดเริ่มต้นกันเลย แคมเปญนี้ traffic source คือ Google Adwords หรือผู้คนที่ค้นหาบนช่องทางGoogle ซึ่งคีย์เวิร์ดเป้าหมายของพวกเขาคือ “buy organic diapers.”
และนี่คือคำโฆษณาที่แบรนด์ใช้บน Google
ดึงดูดความสนใจ (Attention)
เมื่อคุณคลิกไปที่โฆษณาดังกล่าว คุณจะถูกดึงเข้ามายังหน้าหลักของเพจ ที่มีหน้าจอให้คุณกรอกข้อมูลเพื่อลงทะเบียน
ลงทะเบียน (Subscribe)
เมื่อคุณเข้ามาถึงกระบวนการนี้แล้ว ทางแบรนด์จะส่งคูปองไปให้คุณทางอีเมล (ภายใน 24 ชม.กรณีนี้เราตั้งสมมุติฐานว่าคุณยังไม่ได้ทำการสั่งซื้อสินค้า)
กระตุ้นให้เกิดการสั่งซื้อสินค้า (Convert)
อยากให้คุณพิจารณาไปที่ call to action ที่มีใจความว่า “Exclusive Offer! 25% Off Your First Order” หรือ “ข้อเสนอสุดพิเศษ! ลดทันที 25% เมื่อสั่งซื้อครั้งแรก ” ข้อสังเกตก็คือ ส่วนลดนี้มีไว้เฉพาะการสั่งซื้อครั้งแรกเท่านั้น นั่นเพราะว่าเป้าหมายของแคมเปญนี้ไม่ใช่การดึงดูดให้ลูกค้าเก่ามาซื้อซ้ำ แต่มีเป้าหมายให้เกิดการซื้อครั้งแรก เป็นเทคนิคที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเปลี่ยนบุคคลธรรมดาทั่วไปให้กลายมาเป็นลูกค้าใหม่ของแบรนด์
และนี่คือ 4 องค์ประกอบสำคัญ! ที่คุณต้องรู้ ก่อนลงมือทำแคมเปญการตลาด เป็น 4 องค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้แคมเปญที่คุณสร้างสรรออกมาสมบูรณ์ที่สุด ทางทีมงานหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน สามารถนำไปใช้กับการสร้างแคมเปญถัดๆไปของธุรกิจ ให้ประสบความสำเร็จดังตั้งใจที่สุดค่ะ
สุดท้ายนี้หากผู้อ่านท่านใดอยากที่จะพัฒนาองค์ความรู้และทักษะสำคัญด้าน Digital Marketing ไม่ว่าจะเป็น
ที่มา
www.digitalmarketer.com
www.thebalancesmb.com